รูปภาพกิจกรรม


              .
              วัดโชติการาม . จ.นนทบุรี วัดนี้เดิมชื่อวัดสามจีน สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. 2350 ซุ้มประตูหน้าต่างที่พระอุโบสถเป็นลวดลายปูนปั้นประดับเครื่องถ้วยลายครามและเบญจรงค์ บานประตูวิหารเป็นไม้จำหลักรูปเซี่ยวกางสวยงามมาก  โบราณสถานในวัดได้แก่ วิหารทรงโรงก่ออิฐถือปูน 3 ห้อง ภายในมีพระประธานปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชี มีจิตรกรรมฝาผนังภายใน ตั้งแต่พื้นจรดเพดาน ส่วนใหญ่เป็นภาพพุทธประวัติตอนต่างๆ เช่น ตอนมารผจญ ตอนสัตตมหาสถาน ตอนเสด็จโปรดพุทธมารดาเสด็จจากดาวดึงส์ เคยได้รับการบูรณะจากกรมศิลป์แล้วแต่สภาพจิตรกรรมของวัดนี้น่าจะฉิบหายในอีกไมนานจากนี้ น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง จึงใครนำเสนอแด่ผู้สนใจ หากมีโอกาสจะได้ไปเยี่ยมชมเป็นบุญตาสักครั้ง นอกจากนั้นที่นี่ยังมีธรรมมาสน์สมัยอยุธยาโดยอาจารย์ น.ณปากน้ำดูจากลวดลายน่าจะถึงอยุธยาตอนต้นและนักวิชาการยังกล่าวกันว่าเป็นธรรมมาสน์ที่เก่าที่สุดในย่านนี้

              .




              พระอุโบสถเป็นแบบก่ออิฐถือปูนสูงถึงอกไก่ ไม่มีช่อฟ้าใบระกา ด้านหน้ามีพาไล หน้าบันด้านหน้าปั้นเป็นรูปภูริทัตชาดก ท่ามกลางลายปูนปั้นรูปต้นไม่ดอกไม้ประดับเครื่องด้วยชาม รวมทั้งซุ้มจระนำก็ประดับถ้วยชามด้วยเช่นกัน น่าจะเป็นแบบพระราชนิยมที่ทำกันในสมัยรัชกาลที่3

              .



              หน้าบันพระอุโบสถทำเป็นเรื่องภูริทัตชาดก

              .

              .

              เจดีย์องค์กลางระหว่างโบสถ์กับวิหารเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้ยี่สิบ ตั้งแต่องค์ระฆังขึ้นไปประดับกระเบื้องสีเหลือง ยอดเป็นบัวคลุ่ม ทรวดทรงผมว่างดงามคล้ายกับเจดีย์สี่รัชกาลที่วัดโพธิ์ท่าเตียน

              .

              .


              ตัววิหารมีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีปรางค์ขนาดเล็กที่มุมกำแพงแก้วทั้งสี่มุม ปรางค์นี้ประดับกระเบื้องเหลืองเช่นเดียวกับเจดีย์ วิหารหลังนี้มีการก่อสร้างมุขหน้า-มุขหลังใหม่ เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ประตูด้านหน้าวิหารสลักเป็นภาพทวารลาลอย่างจีนถ้าจำไม่ผิดจะคล้ายที่วัดนางชีส่วนด้านหลังบานประตูหน้าต่างเขียนเป็นภาพแจกันทรงสูงใส่ดอกไม้อย่างเครื่องบูชาแบบจีน

              .

              .

              ทวารบาลอย่างจีนที่ประตูวิหาร

              .

              .

              ภายในพระวิหารที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนังนั้น ผนังระหว่างช่องหน้าต่างทรุดโทรมอย่างมาก แม้จะได้รับการอนุรักษ์แล้วแต่ก็ไม่สามารถอยู่ได้ สภาพจิตรกรรมกรอบหยุ่ย ถ้าแตะหรือจับจะหลุดร่อนทันทีโดยเฉพาะด้านหน้าพระประธานนั้นเขียนเป็นเรื่องสัตตมหาสถานผนังโป่งพองหลุดลุ่ยคาดว่าไม่น่าจะเกิน3-5ปี คงหลุดหมดแน่นอน น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง





              ดูชัดๆอีกที ก่อนที่จะไม่มีให้ดู พญานาคมุจรินทร์แผ่พังพานช่างเขียนได้งดงามนัก จิตรกรรมฝาผนังที่นี่นักวิชาการจัดให้อยู่ในสมัยรัชกาลที่4

              .



              ผนังด้านหน้าพระประธานช่วงบนเขียนมารผจญตามคตินิยมการเขียนภาพทั่วไปในพระอุโบสถสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อาจารย์น.ณปากน้ำจึงสันนิษฐานว่าเดิมวิหารนี่น่าจะเป็นพระอุโบสถมาก่อน เหนือมารผจญเขียนเป็นเทพชุมนุม1ชั้นสูงขึ้นไปเขียนเป็นอดีตพุทธอันเป็นรูปแบบที่นิยมในรัชกาลที่4อันนี้ก็คล้ายที่วัดนางชีเช่นเดียวกัน ภาพมารผจญนั้น แม้ดูฝีมือจะไม่ได้วิจตรงดงามเท่าไหร่แต่ในสายตาผม เห็นว่าจัดวางองค์ประกอบและเขียนเส้นได้อย่างอิสระงดงามไม่น้อย

              .

              .

              ดูภาพมารผจญชัดๆอีกรูป

              .

              .

              ผนังด้านหลังพระประธานเขียนเป็นภาพจักรวาลมีเขาพระสุเมรุ พระอาทิตย์ พระจันทร์ วิมานเทวดา และมีฉากพระพุทธเจ้าเทศนาโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และเสด็จลงจากดาวดึงส์ จัดว่าผนังด้านนี้เป็นด้านที่เหลือจิตรกรรมมากที่สุด

              .



              ดูกันชัดๆจิตรกรรมหลังพระประธานอีกรูป

              .



              อีกรูป

              .

              .

              ผนังด้านหลังพระประธานมุมด้านขวามีจิตรกรรมหลงเหลืออยู่ เป็นภาพเมืองนรก ผมชอบมากเพราะเขียนเป็นอาคารแบบเก๋งจีน คงเนื่องด้วยวัดนี้ถูกบูรณะโดยพระยาโชฎึกราชเศรษฐีซึ่งเป็นจีน ช่างที่มาวาดก็น่าจะมีเชื้อจีนมาวาดร่วมอยู่ด้วย ให้สังเกตุมุมขวาของภาพจะมีอีกาปากเหล็กบินว่อนอยู่

              .









              ดูรูปเก๋งจีนเมืองนรกชัดๆอีกรูป

              .

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น